เทศกาลคริสต์มาส มี ต้นคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์สุดโด่งดัง และทำให้เกือบทุกที่เต็มไปด้วยต้นคริสต์มาส แต่เจ้าต้นคริสต์มาสเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า?
แม้ว่า เทศกาลคริสต์มาสจะไม่ใช่เทศกาลพื้นเดิมของประเทศไทยหรือประเทศในแถบเอเชียสักเท่าไหร่ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศกำลังพัฒนาเป็นจุดแรกเริ่มของอุตสาหกรรมการผลิตต้นคริสต์มาสที่ถูกส่งออกไปทั่วโลกเป็นจะนวนมากได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะแม้ว่า ประเทศร่ำรวยจะเป็นเจ้าของเทศกาลเหล่านี้ แต่ในปัจจุบันกระบวนการผลิตต้นคริสต์มาสหรือของตกแต่งต่าง ๆ กลับกระจายอยู่ในกลุ่มของประเทศกำลังพัฒนาซะส่วนใหญ่ เนื่องด้วยความสามารถของแรงงานและความหลากหลายของทักษะด้านการผลิตที่กลุ่มประเทศเหล่านี้ทำได้
ดังนั้นบทความนี้จะไม่ได้พูดถึงประวัติศาสตร์ให้มากความนักสำหรับเทศกาลคริสต์มาสหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ช่วงต้นจะเกริ่นในเรื่องของอุตสาหกรรมก็ตาม แต่เพราะการเติบโตของอุตสาหกรรมเทศกาลเหล่านี้ทำให้เราต้องหันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นยังไงล่ะ เพราะอะไร ไปดู
ต้นคริสต์มาส เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลสุดโด่งดังส่งท้ายปี จากศาสนาคริสต์และต้นกำเนิดในประเทศแถบยุโรปสู่ทั่วโลก ผู้อ่านทุกคนในที่นี้ รู้จักเทศกาลคริสต์มาสนี้กันตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันแน่นอน แต่ความแพร่หลายของเทศกาลนี้ทำให้เราคล้อยตามได้ง่าย ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีต้นสนเช่นเดียวกัน แต่ไม่มากเท่ากับยุโรปและเขตหนาวสักเท่าไหร่ เพื่อให้เข้ากับเทศกาล เราคนไทยมักซื้อต้นคริสต์มาสเทียมกันอยู่เสมอ เพื่อนำไปตกแต่งบ้านให้เข้ากับเทศกาล
แต่มาเรียนรู้เพิ่มกันหน่อยดีไหมว่า ต้นคริสต์มาสทั้งแบบจริงและปลอมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง และจะแก้ไขอย่างไรดี บทความนี้มีคำตอบ
ต้นคริสต์มาส จริง
การมีต้นไม้จริง ไม่ใช่ว่าเราใช้และนำไปทิ้งก็มองแค่เรื่องของการย่อยสลายแล้วหายไปเท่านั้น การมีต้นคริสต์มาสจริง ๆ ทให้เราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาไม่รู้ตัว เฉลี่ย 3.5 กิโลกรัม หากนำไปกำจัดด้วยเครื่องกำจัดไม้หรือนำไปเผา
หรือหากนำไปฝังกลบ ก็จะสามารถเพิ่มรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) ได้ถึง 4 เท่า หรือเทียบเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ก็เท่ากับปล่อย C02 ได้ 16 กิโลกรัม
แก้ยังไง
ต้นคริสต์มาสจริงสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ สามารถนำไปทำปุ๋ยหมักและไม้แปรรูปได้ โดยเฉพาะปุ๋ยหมัก เราอาจใช้มันเพื่อไปปลูกต้นคริสต์มาสต้นต่อไปเพื่อใช้สำหรับปีต่อไปก็ได้ เพื่อลดความต้องการต้นคริสต์มาสจริงจากฟาร์ม ด้วยการปลูกเองซะเลย
หรือในต่างประเทศก็มีไอเดียเจ๋ง ๆ อย่างการนำไปวางไว้ในแม่น้ำหรือมหาสมุทรเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้กับสัตว์น้ำได้ด้วย
ข้อแนะนำ
การไม่สนับสนุนไม้ในฟาร์มดูจะคุ้มค่าที่สุดแล้ว สำหรับต้นไม้จริง เพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าจากการแผ้วถางพื้นที่และความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจสูญเสียได้ เพราะต้นคริสต์มาสจริง ๆ มีประโยชน์กับระบบนิเวศมากกว่าการใช้งานที่ฟุ่มเฟือยของมนุษย์ เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์น้อยใหญ่หลายชนิด อักทั้งยังสามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากศได้ด้วย
ต้นคริสต์มาส ปลอม
แล้วต้นคริสต์มาสปลอเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไหม หลายคนบอกว่า ต้นคริสต์มาสปลอมน่าจะเป็นมมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเพราะสามารถใช้งานซ้ำได้หลายครั้ง แต่จริง ๆ แล้ว ต้นคริสต์มาสปลอมที่สูง 2 เมตรถูกประเมินว่าสามารถสร้างต้นทุนคาร์บอนเทียบเท่าถึง 40 กิโลกรัม หากเรานำพวกมันไปทิ้ง
ต้นคริสต์มาสปลอมส่วนใหญ่มักทำมาจากพลาสติก โลหะ และโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่สามารถรีไซเคิลได้ หรือหากจะแก้ไขด้วยการนำไปฝังกลบก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะมันสามารถสร้างก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นและสร้างมลพิษให้กับระบบนิเวศโดยรอบจากการรั่วไหลของสารเคมีที่เป็นอันตรายลงสู่ดินได้
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ต้นคริสต์มาสปลอมมักจะผลิตจากประเทศที่กำลังพัฒนาก่อนจะส่งไปยังประเทศร่ำรวย ดังนั้นเส้นทางการขนส่งทางเรือหรือทางอากาศก็สามารถสร้างรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) ได้นั่นเอง
แก้ยังไง
เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ที่ต้นคริสต์มาสปลอมสามารถใช้ซ้ำได้ ดังนั้น ต้นคริสต์มาสปลอม 1 ต้นสามารถใช้ซ้ำได้มากถึง 12 ปีเชียวล่ะ นำไปใช้ซ้ำ หรือใช้วิธีการรับซื้อต้นคริสต์มาสปลอมมือ 2 ก็จะดีมาก ๆ และนำต้นไม้นอกบ้านชนิดพันธุ์อื่น ๆ ใส่กระถางมาตกแต่งไฟให้สวยงาม ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นสนเสมอไป
คำแนะนำ
วิธีการกำจัดที่ดีที่สุด คือการนำไปส่งต่อให้หน่วยงานที่มีความรู้ในการจัดการ ไม่ควรซื้อใหม่ทุก ๆ ปี หรืออีกวิธีที่ต่างประเทศนิยมคือการนำไปทำเป็นที่พักอาศัยให้กับสัตว์ป่า
ระบบนิเวศอาจผิดเพี้ยนเพราะต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาสกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการบริโภคของคนทั้งโลกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกปีในแถปยุโรปและอเมริกา รวมถึงในเอเชียด้วย เนื่องจาก ต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ นี้ไม่ได้ใช้สำหรับตกแต่งในบ้านอย่างเดียว แต่มันยังถูกใช้เป็นของตกแต่งในห้างสรรพสินค้า ร้านค้าเล็ก ๆ คาเฟ่ หรืออุตสาหกรรมใหญ่ ๆ กันมากขึ้น เนื่องจากแสงไฟระยิบระยับและการตกแต่งเพื่อให้คนเข้ามาถ่ายรูป ‘Instagrammable’ เป็นการดึงดูดผู้ซื้อให้เข้าม้เยี่ยมชม หรือก็คือมันไม่ได้จำกัดแค่ในครัวเรือเท่านั้น แต่มันแพร่หลายในร้านค้าขนาดใหญ่ด้วย นั่นหมายความว่าเราใช้ทรัพยากรของตกแต่งเพิ่มขึ้นและเราก็ต้องผลิตมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการ
ความต้องการต้นคริสต์มาสจริงรบกวนระบบนิเวศดั้งเดิมของต้นไม้ เนื่องจาก การปลูกต้นไม้ เกษตรกรต้องการทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อปลูกต้นไม้ที่มีคุณภาพมากพอที่จะส่งออกไปขาย อีกทั้งต้นไม้บางชนิดไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในบางภูมิภาค พวกเขาจึงต้องใช้สารเคมี อาทิ ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืชและยาฆ่าเชื้อราจำนวนมากเพื่อคุณภาพของต้นคริสต์มาส
ซึ่งผลที่ตามมาคือ สภาพแวดล้อมและคุณภาพของพื้นที่นั้น ๆ เสื่อมโทรม แถมยังเสี่ยงต่อสัตว์ที่อาจหลงเข้ามาติดเชื้อจากสารเหล่านี้เข้าร่างกาย
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก springnews