“พลังงานความร้อนใต้พิภพ” หรือ “Geothermal energy” ในภาษาอังกฤษ คือพลังงานที่ได้มาจากความร้อนที่เกิดขึ้นภายในโลก พลังงานนี้มักจะถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้าหรือการทำให้อากาศอุ่นในอาคาร
ในโลกมีระบบขนาดใหญ่ที่สร้างความร้อนจากการสลายรังสีของหินแร่, การเคลื่อนไหวของเหลวในเปลือกโลก, และความร้อนที่เหลืออยู่จากการก่อตัวของโลก พลังงานความร้อนใต้พิภพนี้สามารถถูกสกัดเก็บโดยการเจาะลึกลงไปในโลกที่มีความร้อนสูงแล้วนำน้ำร้อนหรือไอน้ำที่ได้มาขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ทั้งนี้ ที่ทำให้พลังงานความร้อนใต้พิภพน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ มันเป็นแหล่งพลังงานที่ทำความสะอาดและยั่งยืน เพราะว่า มันไม่ส่งผลกระทบต่อสภาวะภูมิอากาศ และมีอยู่เกือบทุกที่ในโลก แม้ว่าจะต้องมีการลงทุนเริ่มต้นที่สูง แต่จะเป็นการคุ้มค่าในระยะยาว
ข้อดี:
- แหล่งพลังงานที่ต่อเนื่องและยั่งยืน: พลังงานความร้อนใต้พิภพไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหรือเวลาในวัน ทำให้สามารถใช้พลังงานได้ตลอดเวลา
- ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อย: สิ่งปล่อยลงในบรรยากาศจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพน้อยมากเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานจากน้ำมันดิบหรือถ่านหิน
- สามารถใช้ในการผลิตไฟฟ้าหรือการทำให้อากาศอุ่นๆ
ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่ายในการสร้าง: การสร้างสถานีไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพนั้นมีต้นทุนสูง เพราะต้องเจาะลึกลงไปในโลก
- ไม่สามารถหาได้ทุกที่: แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพมักจะพบได้บนบริเวณที่มีกิจกรรมจากเวกเนียนหรือแผ่นดินสะเทินท์ เช่น อิซแลนด์ หรือนิวซีแลนด์
- สามารถก่อให้เกิดแผ่นดินไหว: การสกัดแร่ภูมิหรือน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจากลึกในโลกอาจส่งผลกระทบต่อความเสถียรของโครงสร้างใต้ดิน และในบางกรณีทำให้เกิดแผ่นดินไหว
พลังงานความร้อนใต้พิภพมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งด้านบวกและด้านลบ:
ด้านบวก:
- สะอาดและยั่งยืน: การใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพไม่สร้างก๊าซเรือนกระจกหรือสารพิษขึ้นอยู่กับที่มาของแหล่งพลังงาน, ทำให้เป็นอย่างหนึ่งของการลดภาวะโลกร้อน.
- มีการทำงานตลอดเวลา: ไม่เหมือนกับพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหรือเวลาของวัน, พลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถสร้างได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตพลังงานและลดการใช้แหล่งพลังงานที่สกปรก.
ด้านลบ:
- การเจาะลึกลงไปในโลก: การสกัดพลังงานความร้อนใต้พิภพนั้นต้องทำการเจาะลึกลงไปในโลก, ซึ่งเป็นการกระทบต่อสภาพภูมิศาสตร์ใต้ดิน.
- ก๊าซเรือนกระจก: ถึงแม้ว่าการสกัดพลังงานจากความร้อนใต้พิภพจะสร้างก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าแหล่งพลังงานดั้งเดิม, แต่ในบางกรณีก็อาจจะมีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือก๊าซไนตรัสออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกได้.
- แผ่นดินไหว: ในบางกรณี, การสกัดพลังงานความร้อนใต้พิภพอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้.
- การลดน้ำใต้ดิน: ในบางครั้ง, การสกัดพลังงานความร้อนใต้พิภพอาจจะลดระดับน้ำใต้ดินในบริเวณที่สกัดพลังงาน.
- การส่งเสียงรบกวน: โครงการเก็บเกี่ยวพลังงานความร้อนใต้พิภพอาจจะสร้างเสียงรบกวนในระหว่างการขุดเจาะและการทำงาน.