การกำจัดขยะด้วยวิธีฝังกลบจะเกิดก๊าซมีเทนสูงถึง 60% ของก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ฝังกลบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน จึงควรนำขยะมาทำปุ๋นหมัก

ขยะอาหาร (Food Waste) ที่มีปริมาณมากขึ้นและกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ

ขยะอาหารนั้น มาจากหลายปัจจัยทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรเมือง ประเภทอาหารที่หลากหลายและการบริโภคมากขึ้น ฯลฯ แต่อีกสาเหตุและมีส่วนสำคัญก็คือการไม่คัดแยกขยะ ไม่นำเศษอาหารที่เหลือจากการบริโภคไปใช้ประโยชน์ต่อ ทำให้ขยะอาหารกลายเป็นปฏิกูลที่ต้องจัดการด้วยการฝังกลบเป็นจำนวนมาก

ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษปี 2566 ประเทศไทยผลิตขยะมูลฝอยรวมกว่า 25.70 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 70,411 ตันต่อวัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นขยะอินทรีย์ เช่น ขยะเน่าเสียและย่อยสลายได้เร็วอย่างเศษอาหารมีสัดส่วนสูงถึง 49.03% ในจำนวนนี้มีขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างถูกวิธีเพียง 38% ส่วนที่เหลือถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องหรือปล่อยตกค้าง และก่อให้เกิดมลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ

หากเราไม่มีความเข้าใจมากพอก็อาจทำให้เชื่อไปในทำนองว่า เมื่อขยะเน่าเสียเหล่านี้ถูกขนไปฝังกลบ ปัญหาก็จบลงแค่นั้น หารู้ไม่ว่าการจัดการขยะอินทรีย์ด้วยวิธีการฝังกลบในหลุมจะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากพื้นที่ฝังกลบ ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในบริเวณชุมชนใกล้เคียงไม่ว่าแหล่งน้ำหรือดิน ตลอดจนมีผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้อยู่อาศัยใกล้บ่อขยะ โดยข้อมูลของ IPCC ระบุว่า แหล่งฝังกลบขยะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนจากกิจกรรมมนุษย์ที่สูงเป็นอันดับสามของโลก

รู้หรือไม่ว่าอาหารทุกจานที่รับประทานเข้าไปส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยการผลิตอาหารเหล่านั้นต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมเกือบ 30% ของโลก

คนไทยสร้างขยะอาหารเฉลี่ยปีละ 86 กิโลกรัมต่อคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 79 กิโลกรัมต่อคน โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคเกินความจำเป็น การซื้ออาหารที่มากเกินไป รวมถึงการจัดเก็บอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งนั่นเท่ากับการบริโภคอาหารที่มากขึ้นเป็นหนึ่งในสาเหตุการสร้างมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าอยู่อาศัย

ขยะอาหารที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลจากรายงาน Food Waste Index 2024 ระบุว่า ขยะอาหารทั่วโลกมีปริมาณมากถึง 1,052 ล้านตัน หรือคิดเป็น 19% ของอาหารทั้งหมดในตลาด แต่ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกว่า 783 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงประสบปัญหาความหิวโหย

องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดเป้าหมายให้ทุกประเทศต้องลดปริมาณขยะอาหารให้ได้ 50% ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ซึ่งภายในปีเดียวกันนี้ไทยเองก็ได้ตั้งเป้าลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งด้วย หรือประมาณ 3 ล้านตันต่อปี เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ UN รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากขยะอาหาร และสร้างความมั่นคงด้านอาหาร

แนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาขยะอาหารเพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำก็คือ “การหมักเศษอาหาร” หรือการเปลี่ยนขยะอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่สามารถนำไปใช้ในภาคเกษตรได้ ซึ่งการใช้ถังหมักเศษอาหารในครัวเรือนช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน และช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ถึง 14 เท่า เมื่อเทียบกับการฝังกลบ อีกแนวทางสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เช่น การซื้ออาหารตามความจำเป็น การจัดเก็บอาหารให้เหมาะสม และการนำอาหารเหลือมาแปรรูปเป็นเมนูใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะอาหารตั้งแต่ต้นทาง

ในระดับชุมชน มีการจัดตั้งโครงการธนาคารอาหาร เช่น โครงการ “ไม่เทรวม” และ “ธนาคารอาหาร” ซึ่งเป็นตัวอย่างของความพยายามในการลดปริมาณขยะ โครงการเหล่านี้เน้นการส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางในสังคม พร้อมทั้งรณรงค์การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ในต่างประเทศอย่างเช่น ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ได้พัฒนามาตรการลดขยะอาหารที่ประสบความสำเร็จ โดยฝรั่งเศสออกกฎหมายบังคับให้ร้านค้าบริจาคอาหารส่วนเกิน ขณะที่ญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีในการติดตามและลดขยะอาหารทำให้สามารถลดขยะได้ถึง 31% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

หากเราไม่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้

รู้หรือไม่ว่าอาหารทุกจานที่รับประทานเข้าไปส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยการผลิตอาหารเหล่านั้นต้องใช้พื้นที่เกษตรกรรมเกือบ 30% ของโลก ดังนั้นเพื่อช่วยดูแลโลกให้น่าอยู่ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารจึงเป็นอีกวิธีการที่ไม่ยากและสามารถลดผลกระทบได้ อย่างน้อยที่สุดการหมักขยะอินทรีย์จะช่วยเบี่ยงเบนขยะจากการฝังกลบ ซึ่งเท่ากับช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนและป้องกันมลพิษต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้และกลิ่นเหม็นไปในตัว นอกจากนี้ ปุ๋ยหมักยังนำไปปรับปรุงคุณภาพดิน และสามารถทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย

การทำปุ๋ยหมักสามารถทำได้ทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชนที่มีพื้นที่เอื้ออำนวย โดยการใช้ภาชนะ เช่น ถังน้ำ หม้อดินเผา หรือในระดับท้องถิ่นก็สามารถรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยหมักในชุมชนได้ ซึ่งการนำขยะอาหารไปทำปุ๋ยหมักนั้นสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 2,100 ล้านตัน ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ถือเป็นวิธีการที่ยั่งยืน ลงมือทำได้ไม่ยาก และช่วยสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Food Waste "ปุ๋ยหมัก จาก ขยะอาหาร" กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การนำเทคโนโลยีมาช่วยก็มีความสะดวกในการลดขยะอาหารได้มาก เช่น ใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือนวันหมดอายุอาหาร หรือวางแผนซื้ออาหารอย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจซื้ออาหารมีความสอดคล้องกับความต้องการบริโภคที่แท้จริง และจะช่วยลดปริมาณขยะอาหารอย่างเห็นผล

นอกจากนี้ สามารถต่อยอดขยะอาหารเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ด้วย เช่น การแปรรูปขยะอาหารเป็นพลังงานชีวภาพ หรือการสร้างสินค้าใหม่จากวัสดุชีวมวล ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร แต่ยังสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับชุมชนได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การลดขยะอาหารให้ประสบความสำเร็จ และสามารถก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้นอกจากคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนแล้วยังช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อม ๆ กัน

ความตระหนักต่อปัญหาขยะอาหารและการเริ่มต้นลงมือทำไม่มีคำว่าสายเกินไป ทั้งเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและลงมือเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย ผู้ลงมือทำในวันนี้จะเป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้นและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว นอกจากมีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังเป็นการส่งต่อความยั่งยืนสำหรับอนาคตของลูกหลานรุ่นต่อไปอีกด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก igreenstory

รถยนต์ไฟฟ้า EV อาจไม่ได้รักโลกเหมือนที่คิด ฝุ่นผ้าเบรก ความอันตรายที่มองไม่เห็น

Previous article

“Green Real Estate” ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความคุ้มค่าทางธุรกิจ

Next article

You may also like

More in Life