ธรรมชาติบำบัด : ธรรมชาติส่งผลต่อร่างกายและสมองของเราอย่างไร
เมื่อเราพาตัวเข้าใกล้ธรรมชาติขึ้นอีกอีกนิด ไม่ว่าจะเป็นผืนป่าบริสุทธิ์ หรือต้นไม้ในสวนหลังบ้าน เรากำลังช่วยให้สมองที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลาย
“เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าการดื่มด่ำกับทิวทัศน์ทางธรรมชาติอันตระการตาเป็นครั้งคราว…ส่งผลดีต่อสุขภาพและกำลังวังชาของมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสุขภาพและกำลังของสติปัญญา” เฟรเดอริก ลอว์ โอล์มสเตด ภูมิสถาปนิก เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียปกป้องป่าในหุบเขาโยเซมิทีจากการโหมพัฒนาเมื่อปี 1865 ตลอดเวลาที่ผ่านมา การศึกษามากมายที่ชี้ชัดว่าคำพูดของโอล์มสนั้น เป็นจริง
ธรรมชาติบำบัด รักษาสุขภาพได้จริงจากแนวคิดของผู้คนทั่วโลก
- สมองมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรกลหนัก 1.4 กิโลกรัมที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สมองเหนื่อยง่ายมาก เมื่อคนเราใช้ชีวิตช้าลง วางมือจากงานอันยุ่งเหยิงและดื่มด่ำกับธรรมชาติงดงามรอบตัว ไม่เพียงแต่ร่างกายที่ฟื้นตัว แต่สมองก็สดชื่นด้วย เสตรเยอร์พบว่านักศึกษาที่ออกตั้งแคมป์ท่องป่านานสามวัน แก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ได้ดีขึ้นร้อยละ 50 สามวันในป่าจึงเป็นการทำความสะอาดสมองลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่กับธรรมชาตินานพอ “ในวันที่สาม ประสาทสัมผัสของผมปรับตัวดีขึ้น ผมได้ยินเสียงและได้กลิ่นที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน ผมรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้น”
- ปัญหาสาธารณสุขระดับมหัพภาค เช่น โรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า และสายตาสั้นที่เป็นกันอย่างแพร่หลายล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการใช้เวลาในร่มอย่างชัดเจน ผลักดันให้สเตรเยอร์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆกลับมาให้ความสนใจกันอีกครั้งว่า ธรรมชาติส่งผลต่อร่างกายและสมองของเราอย่างไร ความก้าวหน้าทางประสาทวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาทำให้พวกเขาเริ่มตรวจวัดสิ่งที่เคยเป็นปริศนามืดมนได้ และผลการตรวจวัดสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ฮอร์โมนเครียด อัตราการเต้นของหัวใจ คลื่นสมอง ไปจนถึงเครื่องหมายโปรตีน ก็บ่งชี้ว่า ยามที่เราใช้เวลาอยู่ในพื้นที่สีเขียว “มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในตัวเรา” ตามที่สเตรเยอร์อธิบายไว้
- ไม่นานมานี้ นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกซิเตอร์ สหราชอาณาจักร วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพวะของชาวเมือง 10,000 คน และใช้แผนที่ความละเอียดสูงบันทึกที่อยู่ของผู้ให้ข้อมูลในช่วงเวลากว่า 18 ปี พบว่า ผู้อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวมากกว่ามีความทุกข์ทรมานทางจิตใจน้อยกว่า แม้จะตัดตัวแปรเรื่องรายได้ การศึกษา และการจ้างงาน (ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ) ออกแล้วก็ตาม
- ปี 2009 ทีมนักวิจัยชาวดัตช์พบว่า ผู้อาศัยอยู่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรรอบพื้นที่สีเขียวมีอัตราการเกิดโรค 15 โรคต่ำลง เช่น ภาวะซึมเศร้า อาการวิตกกังวล โรคหัวใจ เบาหวาน หืด และไมเกรน
- ทีมนักวิจัยนานาชาติสำรวจสุขภาพของชาวโทรอนโตกว่า 31,000 คน พบว่า ผู้อาศัยในบริเวณที่มีต้นไม้มากกว่า มีอัตราการเต้นของหัวใจและระบบย่อยอาหารดีพอๆ กับผู้มีรายได้สูงกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐ และอัตราการเสียชีวิตและปริมาณฮอร์โมนเครียดในระบบไหลเวียนโลหิตที่ต่ำลงก็สัมพันธ์กับการอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวเช่นกัน
- ริชาร์ด มิตเชลล์ นักวิทยาการระบาดจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ สกอตแลนด์ พบว่าผู้อาศัยใกล้สวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวอื่นๆ มีอัตราการเสียชีวิตและเจ็บไข้ได้ป่วยต่ำกว่า แม้จะไม่เคยเข้าไปใช้พื้นที่เหล่านั้นเลย
- ที่ทัณฑสถานสเนกริเวอร์ ทางตะวันออกของรัฐออริกอน นักโทษขังเดี่ยวมีพฤติกรรมสงบขึ้นเมื่อได้ออกกำลังกายวันละ 40 นาที สัปดาห์ละหลายวันในห้องสีฟ้าที่เปิดวิดีทัศน์ธรรมชาติไว้ เมื่อเทียบกับนักโทษในห้องออกกำลังกายซึ่งไม่มีวิดีทัศน์
- การเดินป่า 15 นาที ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอย่างเห็นได้ชัด ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นที่นำโดย โยชิฟุมิ มิยะซะกิ มหาวิทยาลัยชิบะ ส่งอาสาสมัคร 84 คนไปเดินเล่นในป่าเจ็ดแห่ง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจำนวนเท่ากัน เดินอยู่ตามย่านกลางใจเมือง ปรากฏว่ากลุ่มที่เข้าป่ามีฮอร์โมนเครียดหรือคอร์ติซอลลดลงร้อยละ 16 ความดันโลหิตลดลงร้อยละ 2 และอัตราการเต้นของหัวใจลดลงร้อยละ 4
- มิยะซะกิเชื่อว่าร่างกายมนุษย์ผ่อนคลายเมื่ออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันรื่นรมย์ เพราะเรามีวิวัฒนาการขึ้นมาในธรรมชาติ เขาบอกว่าประสาทสัมผัสของเราผ่านการปรับตัวมาเพื่อตีความข้อมูลเกี่ยวกับต้นไม้และสายน้ำ ไม่ใช่การจราจรหรือตึกระฟ้า
- ศาสตราจารย์ลีซา ตือร์ไวเนน และทีมงานจากสถาบันทรัพยการธรรมชาติของฟินแลนด์ แนะนำให้ประชาชนออกไปสัมผัสธรรมชาติเดือนละห้าชั่วโมง โดยแบ่งเป็นการเยือนชั่วระยะสั้นๆ สัปดาห์ละหลายครั้งเพื่อขจัดความหดหู่
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก ngthai