By ตามรายงานคุณภาพอากาศและสภาพภูมิอากาศขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) หรือ WMO พบว่าระดับอนุภาคในอากาศที่เป็นอันตรายที่เกิดจากการจราจรและการผลิตพลังงานในปี 2563 ลดลง 40% ซึ่งจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ พบว่าการปล่อยมลพิษทางอากาศลดลงและคุณภาพอากาศดีขึ้นในช่วงปีแรกของการระบาดของโควิด-19
คุณภาพอากาศดีขึ้น ผลจากการล็อกดาวน์ช่วงสถานการณ์ Covid-19
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปล่อยมลพิษทางอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้นจะลดลงในช่วงการจำกัดการเคลื่อนไหวจากสถานการณ์โควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สภาพอากาศที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดพายุทรายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งรวมถึงเมฆฝุ่น “Godzilla” ในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นพายุฝุ่นที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาที่มีการบันทึกไว้ และไฟป่าออสเตรเลียถึงไซบีเรียซึ่งทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงอย่างมาก
“แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2564” WMO กล่าว โดยชี้ไปที่ไฟป่าในอเมริกาเหนือ ยุโรป และรัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศสำหรับหลายล้านคน รวมถึงพายุทรายและฝุ่นที่ได้ปกคลุมในหลายภูมิภาค
หน่วยงานของ UN ตั้งข้อสังเกตว่ามลพิษทางอากาศมีผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของมนุษย์ จากการประเมินภาระโรคทั่วโลกล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 2.3 ล้านคนในปี 2533 โดยร้อยละ 91 เกิดจากฝุ่นละออง ร้อยละ 9 เกิดจากโอโซน เป็น 4.5 ล้านคนในปี 2562 โดยร้อยละ 92 จากฝุ่นละออง ร้อยละ 8 จากโอโซน
รายงานคุณภาพอากาศและสภาพภูมิอากาศของ WMO อ้างอิงจากการศึกษามลพิษทางอากาศที่สำคัญจากสถานีสังเกตการณ์มากกว่า 540 แห่งใน 63 เมืองจาก 25 ประเทศ จาก 7 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของโลก
การวิเคราะห์พบว่าความเข้มข้นของ PM2.5 โดยรวมลดลงสูงสุด 30–40 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างการล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2020 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2558-2562
การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของโอโซนแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยรวมไปจนถึงการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เช่นในยุโรป และการเพิ่มขึ้นที่มากขึ้น (เพิ่มขึ้น 25% ในเอเชียตะวันออกและเพิ่มขึ้น 30% ในอเมริกาใต้)
ความเข้มข้นของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลดลง 25 – 60 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2558-2562 ในทุกภูมิภาค ตามประกาศของ WMO ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงในทุกภูมิภาค โดยลดลงมากที่สุดในอเมริกาใต้ โดยอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
Source: UN
