Tesla บริษัทที่ชูนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดนเขี่ยออกจากดัชนีด้านความยั่งยืนประจำปีที่จัดทำโดย S&P 500 Index
ในขณะที่บิ๊กเทครายอื่นไม่ว่าจะเป็น Microsoft Apple Amazon หรือแม้กระทั่งบริษัทน้ำมันอย่าง Exxon Mobil ยังคงได้อยู่บนดัชนีต่อไป
S&P อ้างว่า Tesla ขาดนโยบายด้านการควบคุมปริมาณการปล่อยคาร์บอนที่ดีพอ
อีกทั้งมีปัญหาด้านจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ เป็นเหตุผลหลักในการเตะโด่งขาใหญ่ประจำวงการรถไฟฟ้าออกไปจากดัชนีชี้วัดความยั่งยืน หรือ ESG Index (environmental, social and governance index) ไปอย่างไร้เยื่อใย
S&P 500 ESG Index เป็นดัชนีชี้วัดความยั่งยืนที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ในการประเมินหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และการปฏิบัติต่อลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มอื่นอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ซึ่งมีการอัพเดตทุกปี
สาเหตุที่ปีนี้Tesla ไม่ผ่านเกณฑ์ S&P 500 บอกว่า เป็นเพราะบริษัทขาดกลยุทธ์ด้านการควบคุมการปล่อยคาร์บอนที่เพียงพอ และมีปัญหาในการปฏิบัติตามจรรยาบรรณทางธุรกิจ โดยเฉพาะปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและสภาพแวดล้อมการทำงานที่เลวร้ายในโรงงานที่ฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
นอกจากนี้ วิธีการรับมือของบริษัทต่อการสืบสวนกรณีที่รถยนต์ของบริษัทประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลลบต่อคะแนน
แม้Tesla จะชูการผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านใช้พลังงานอย่าง “ยั่งยืน” เป็น “พันธกิจ” หลัก แต่บริษัทกลับอยู่ในอันดับต้น ๆ (22 จาก 100) ของบริษัทที่ก่อมลพิษมากที่สุดใน Toxic 100 Air Polluters Index จัดทำโดย U-Mass Amherst Political Economy Research Institute (แย่กว่า Exxon Mobil ที่อยู่ในอันดับ 26)
นอกจากนี้ ในรายงานประจำไตรมาสของบริษัทเองก็เปิดเผยว่า บริษัทกำลังโดนสอบสวนโดยรัฐแคลิฟอร์เนียเรื่องการกำจัดของเสีย
บริษัทยังโดน Department of Fair Employment and Housing ของแคลิฟอร์เนียฟ้องข้อหาเลือกปฏิบัติในโรงงานที่เมืองฟรีมอนต์ โดยมีหลักฐานว่าคนงานผิวดำถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งงานระดับต่ำที่มีความเสี่ยงในการทำงานสูง และเมื่อมีการร้องเรียนก็จะโดนกลั่นแกล้ง
S&P 500 ยอมรับว่าTesla มีส่วนช่วยลดปริมาณรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลบนท้องถนน แต่หากมองโดยภาพรวมด้าน ESG แล้ว บริษัทยังรั้งท้ายบริษัทอื่นอยู่มาก
การโดนเขี่ยออกจากดัชนีด้านความยั่งยืนระดับโลก ทำให้ “อีลอน มัสก์” ซีอีโอของบริษัทโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขั้นทวีตด่าการจัดอันดับทางด้าน ESG เป็นสิ่งเลวร้าย
โดยในแถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า การทำรายงานด้าน ESG ในปัจจุบัน ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านบวกที่บริษัทมีต่อสิ่งแวดล้อมโลก แต่กลับโฟกัสไปแค่เรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นตัวเงินเท่านั้น
นอกจากนี้ บริษัทยังบอกด้วยว่า บริษัทรถยนต์รายอื่นที่แทบไม่มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แถมยังคงผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมกลับได้คะแนน ESG สูง
แต่ไม่ว่าจะพยายามโต้แย้งหรือแก้ตัวอย่างไร หุ้นของบริษัทก็ตกไปทันทีกว่า 6% ในวันที่มีการประกาศผลดัชนี ESG และหากประมวลผลทั้งปี พบว่าหุ้นTesla ตกไปแล้วกว่า 30%
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก Tesla