Apple เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ของสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนที่เพรียวบางใน 5 สีสันใหม่ พร้อมระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ซึ่งมีกล้องไวด์ใหม่พร้อมพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงวิธีใหม่สำหรับปรับแต่งกล้องในสไตล์ของตัวเองอย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” และโหมดภาพยนตร์ที่จะเปิดมิติใหม่ของการเล่าเรื่องด้วยวิดีโอ นอกจากนี้ ยังมีชิป A15 Bionic ที่เร็วและประหยัดพลังงาน แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB สำหรับรุ่นเริ่มต้น ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และประสบการณ์ 5G
iPhone 13 และ iPhone 13 mini ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งภายในและภายนอกโดยมีให้เลือก 5 สี ชมพู น้ำเงิน มิดไนท์ สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT)RED ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนอันทนทาน และโครงอะลูมิเนียมที่เรียบหรูดูดี ในขณะที่จอภาพขนาด 6.1 นิ้ว และ 5.4 นิ้ว มาพร้อม Ceramic Shield ด้านหน้า กล้องหลังได้รับการออกแบบใหม่โดยมีการจัดวางเลนส์ในแนวทแยง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบกล้องคู่สุดล้ำ และระบบกล้อง TrueDepth โฉมใหม่ก็มีขนาดเล็กลง จึงมีพื้นที่แสดงผลมากขึ้น แต่ยังคงอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเช่นเดิม อย่าง Face ID ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ปลอดภัยที่สุดในสมาร์ทโฟน
iPhone 13 และ iPhone 13 mini มาพร้อมดีไซน์กล้องที่เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ทั้งความล้ำหน้าในด้านฮาร์ดแวร์และการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ภาพถ่ายและวิดีโอสวยงามน่าทึ่ง กล้องไวด์ใหม่ ซึ่งมีพิกเซลขนาด 1.7 µm มาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบบกล้องคู่ของ iPhone จึงสามารถรับแสงได้มากขึ้น 47% และทำให้ภาพสว่างยิ่งขึ้นโดยที่มีนอยซ์น้อยลง ถัดมาคือระบบ OIS ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เปิดตัวไปใน iPhone 12 Pro Max และไม่มีในสมาร์ทโฟนอื่น แต่วันนี้มาอยู่ในกล้องไวด์ด้วยเช่นกัน รวมถึงในรุ่นที่กะทัดรัดกว่าอย่าง iPhone 13 mini ระบบนี้จะลดความสั่นไหวของเซ็นเซอร์แทนที่จะเป็นเลนส์เพื่อให้ภาพแต่ละช็อตนิ่งยิ่งขึ้น ส่วนกล้องอัลตร้าไวด์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะพร้อมด้วยเซ็นเซอร์ใหม่นั้นก็สามารถเก็บบันทึกรายละเอียดในส่วนมืดได้มากยิ่งขึ้นทั้งภาพถ่ายและวิดีโอโดยที่มีนอยซ์น้อยลง
โหมดภาพยนตร์บน iPhone สามารถบันทึกวิดีโอของผู้คน สัตว์เลี้ยง และวัตถุพร้อมเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกที่สวยงาม และเปลี่ยนโฟกัสได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการศึกษาเรื่องการกำกับภาพและการใช้โฟกัสแบบแร็คอย่างละเอียด ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเปลี่ยนโฟกัสเพื่อควบคุมการสร้างสรรค์ได้ทั้งในขณะถ่ายทำและหลังจากถ่ายเสร็จ และผู้ใช้ยังสามารถปรับระดับโบเก้ในแอปรูปภาพและ iMovie สำหรับ iOS ได้ด้วย ซึ่งเร็วๆ นี้จะทำได้กับ iMovie สำหรับ macOS และ Final Cut Pro เช่นกัน ทำให้ iPhone 13 เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวที่สามารถปรับแต่งเอฟเฟ็กต์ระยะชัดลึกในวิดีโอหลังจากถ่ายได้ และโหมดภาพยนตร์ยังสามารถบันทึกในแบบ Dolby Vision HDR ได้อีกด้วยโดยอาศัยชิป A15 Bionic และอัลกอริทึมการเรียนรู้ของระบบอันล้ำสมัย นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังสามารถบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่การถ่ายทำจนถึงการตัดต่อและแชร์
ชิป A15 Bionic เร็วแซงหน้าคู่แข่งไปไกลด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าและยังประหยัดพลังงานดีกว่าด้วย ทุกอย่างในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 จึงดูลื่นไหลยิ่งขึ้น ชิปรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรและมีทรานซิสเตอร์เกือบ 1.5 หมื่นล้านตัวสำหรับจัดการกับงานหนักๆ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่าย โดยมี CPU แบบ 6-core ใหม่ที่มาพร้อมคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2-core และคอร์ที่ประหยัดพลังงานสูง 4-core ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 50% จนเรียกได้ว่าเร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน และสามารถรับมือกับงานหนักๆ ได้อย่างลื่นไหลและประหยัดพลังงานอีกด้วย ในขณะที่ GPU แบบ 4-core ใหม่เร็วกว่าคู่แข่งสูงสุด 30% จึงทำให้เอฟเฟ็กต์ภาพและแสงในเกมที่เน้นกราฟิกมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น ส่วน Neural Engine แบบ 16-core ใหม่ก็ประมวลผลได้ถึง 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงประมวลผลเพื่อการเรียนรู้ของระบบได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในแอปของบริษัทอื่น รวมถึงคุณสมบัติอย่าง “ข้อความในภาพ” ในแอปกล้องที่มาพร้อมกับ iOS 15 ด้วย และยังมีการปรับปรุง ISP เจเนอเรชั่นถัดไปให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น ซึ่งผนึกกำลังกับการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์และฮาร์ดแวร์กล้องอันทรงพลังจนกลายเป็นระบบกล้องคู่โฉมใหม่ในมือคุณ
โลกกำลังก้าวสู่ยุคของ 5G อย่างรวดเร็ว และ iPhone ก็พร้อมมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำที่จะพลิกโฉมวิธีที่ผู้ใช้ต่อติดถึงกัน แชร์ และสนุกเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ เพราะมีฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 13 เพื่อให้รองรับย่านความถี่ 5G มากขึ้น จึงทำงานบน 5G ได้หลายที่มากขึ้น ครอบคลุมยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการโทรที่ดีขึ้นด้วย และภายในสิ้นปี 2021 การรองรับ 5G บน iPhone ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ครอบคลุมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์กว่า 200 รายทั่วโลกใน 60 ประเทศและภูมิภาค โดยประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสนั้นมีตั้งแต่การสตรีมวิดีโอด้วยคุณภาพที่สูงขึ้นบนแพลตฟอร์มโปรด การเล่นเกมแบบหลายผู้เล่นที่สนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัปโหลดที่สูงขึ้น และอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นเมื่อ SharePlay ใน iOS 15 มาอยู่บน 5G แล้ว ก็จะช่วยให้ผู้ใช้แชร์ประสบการณ์ร่วมกันได้อย่างทรงพลัง อย่างการดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime และยังมีโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาดโดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G
นอกจากนี้ iPhone 13 ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงสายอากาศที่ใช้ขวดน้ำพลาสติกที่ผ่านการอัปไซเคิลโดยอาศัยกระบวนการทางเคมีเพื่อเปลี่ยนเป็นวัสดุประสิทธิภาพสูงที่แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการ และ iPhone ยังใช้แร่โลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิลทั้งหมด 100% ในแม่เหล็กอย่างที่ใช้ใน MagSafe รวมถึงการใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในบัดกรีของแผงวงจรหลัก และในบัดกรีของหน่วยจัดการแบตเตอรี่ ซึ่งอย่างหลังถือเป็นครั้งแรก ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองรุ่นยังใช้ทองรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรหลัก รวมถึงสายไฟในกล้องหน้าและกล้องหลังด้วย ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบใหม่นั้นก็เลิกใช้พลาสติกหุ้มชั้นนอกโดยสิ้นเชิง จึงสามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ถึง 600 เมตริกตัน และทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายของบริษัทมากยิ่งขึ้น นั่นคือการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025
การดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 Apple วางแผนที่จะลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนการผลิตและวงจรชีวิตของสินค้าทั้งหมด นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องที่จำหน่ายจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของลูกค้า การชาร์จ จนถึงการรีไซเคิลและการคัดแยกวัสดุ
iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะวางจำหน่ายในประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคมในราคา 29,900 บาท และ 25,900 บาท ความจุเริ่มต้นที่ 128GB 256GB และ 512GB ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ apple.com/th/store
Source: Apple