PM 2.5 หรืออนุภาคละอองขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนมักจะพบเห็นในปริมาณที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวด้วยหลายสาเหตุ:
- สภาพอากาศแบบอุตุนิยมวิทยา: ในหลายพื้นที่ ฤดูหนาวมักมาพร้อมกับอากาศแบบอุตุนิยมวิทยาที่เรียกว่า ‘inversion’ ซึ่งคือการที่อากาศชั้นบนที่อุ่นกว่าจับอากาศเย็นที่อยู่ใกล้พื้นดิน เมื่อเกิดสภาพนี้ มลพิษรวมถึงอนุภาค PM 2.5 จะถูก ‘กักขัง’ ในชั้นอากาศใกล้พื้นดินและไม่สามารถกระจายตัวไปในชั้นอากาศสูงได้
- การเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงาน: ในหลายพื้นที่ การใช้พลังงานเพื่อการทำความร้อนในบ้านเรือนและสถานที่ทำงานเพิ่มขึ้นในฤดูหนาว การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ สามารถผลิต PM 2.5 ได้
- การเผาผลาญไม้และการเผาไหม้ในที่เปิด: ในหลายพื้นที่ ปฏิบัติการเผาผลาญไม้เพื่อการทำความร้อนหรือการเผาไหม้พื้นที่เกษตรในช่วงฤดูหนาวสามารถเพิ่มระดับของ PM 2.5
- การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในอากาศ: อุณหภูมิที่ต่ำกว่าในช่วงหนาวอาจส่งผลต่อปฏิกิริยาทางเคมีในอากาศที่สามารถสร้าง PM 2.5 ได้
- การลดลงของความชื้นในอากาศ: อากาศที่แห้งมากขึ้นในฤดูหนาวสามารถลดความสามารถในการซับหรือล้าง PM 2.5 จากอากาศได้
-
อากาศเย็นและแห้ง อากาศเย็นและแห้งจะทำให้เกิดการหดตัวของอากาศ ทำให้ฝุ่นละอองต่างๆ ลอยตัวอยู่ในอากาศได้นานขึ้น และไม่เกิดการกระจายตัวได้ดีเท่ากับอากาศอุ่นและชื้น
-
การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ในช่วงหน้าหนาว ผู้คนมักจะใช้เครื่องทำความร้อนหรือเตาไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ส่งผลให้ปริมาณฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ PM 2.5 จึงมักจะพบในระดับที่สูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การก่อให้เกิดปัญหาทางเดินหายใจและโรคหัวใจ.
ดังนั้น เพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในช่วงหน้าหนาว จึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง เช่น การเผาป่า การเผาในที่โล่ง และการใช้เครื่องทำความร้อนหรือเตาไฟที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ควรใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N95 เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูง
ติดตามข่าวสารและบทความเกี่ยวกับ The Sustain – ธุรกิจและความยั่งยืน พลังงาน ภาวะโลกร้อน ทรัพยากรธรรมชาติ