Climate Risk Index เป็นดัชนีจัดอันดับ 8 ความเสี่ยงประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง โดยอันดับของไทยดีขึ้น
รายงาน (CRI) เป็นดัชนีที่วิเคราะห์และจัดอันดับประเทศต่าง ๆ ตามผลกระทบที่ได้รับจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง โดยพิจารณาจากจำนวนผู้เสียชีวิต ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และจำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดย Germanwatch ได้ออกรายงานฉบับแรกเผยแพร่ เมื่อปี 2006 จากนั้นมีการอัปเดตเป็นประจำทุกปี และรายงาน Climate Risk Index 2025 ได้ออกอีกครั้งในปีนี้พร้อมข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
Germanwatch ก่อตั้งขึ้นในปี 1991 จากความกังวลเกี่ยวกับความปรารถนาของเยอรมนีที่จะกลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียว โดยมี Christoph Bals ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) นี้มุ่งสู่ประเด็นการพัฒนาและสภาพภูมิอากาศตั้งแต่เริ่มแรก จนกลายเป็นหนึ่งใน NGO ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในด้านการเงินที่ยั่งยืน
Germanwatch เป็นองค์กรอิสระที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคม การเคารพธรรมชาติ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาประสบการณ์การดำเนินงานด้านนี้มากว่า 30 ปี และดำเนินโครงการสำเร็จมาแล้วกว่า 650 โครงการ ทำให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านสภาพอากาศและการพัฒนาในเยอรมนีและยุโรป
นอกจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศผ่าน CRI แล้ว Germanwatch ยังทำงานในประเด็นที่หลากหลาย เช่น การลดและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ความมั่นคงทางอาหารและการใช้ที่ดิน การเงินที่ยั่งยืน และการฟ้องร้องด้านสภาพภูมิอากาศและสิทธิมนุษยชน โดยทำงานผ่านเครือข่ายอาสาสมัครและความร่วมมือกับองค์กรระดับนานาชาติ ซึ่ง Germanwatch ถือเป็นหนึ่งในเสียงสำคัญของภาคประชาสังคมที่ผลักดันให้เกิดนโยบายและการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดัชนี CRI เป็นหนึ่งในดัชนีวัดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่มีการดำเนินการยาวนานที่สุด และจัดอันดับประเทศตามผลกระทบทางเศรษฐกิจและมนุษย์ โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจะอยู่ในอันดับสูงสุด CRI ใช้วิธีการประเมินผลย้อนหลัง โดยแสดงให้เห็นระดับผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงสองปีก่อนการเผยแพร่ดัชนี และในช่วง 30 ปีที่ผ่านมารายงานนี้ช่วยกำหนดบริบทของการอภิปรายและกระบวนการกำหนดนโยบายด้านสภาพอากาศในระดับนานาชาติ และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศใดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
Climate Risk Index ไม่ได้เป็นเพียงการจัดอันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเท่านั้น
แต่ยังใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะในเวทีการประชุมโลกร้อน เช่น COP29 ซึ่งล่าสุดที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วได้ CRI จึงทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนภัยสำหรับประเทศต่าง ๆ ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องดำเนินมาตรการป้องกัน รวมถึงปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานดัชนีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศโลกฉบับแรกที่ออกในปี 2006 ระบุว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วน้อยที่สุดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ต่ำและรายได้ต่อหัวต่ำ เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุและภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งผลให้ประเทศเหล่านี้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในอัตราที่สูงมาก การวิเคราะห์พบว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางสังคม
ฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่างของประเทศที่เสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ การวิเคราะห์จากดัชนีความเสี่ยงแสดงให้เห็นว่าความเสียหายจากสภาพอากาศสุดขั้วนั้นมีผลกระทบต่อประเทศเหล่านี้ในเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม ทำให้การปรับตัวและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ในช่วงปี 1993-2022 มีการบันทึกเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,400 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 765,000 ราย และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์หลักที่สร้างผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ พายุ (35%) คลื่นความร้อน (30%) และอุทกภัย (27%) ซึ่งพายุเป็นสาเหตุที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากที่สุด โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 2.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 56% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาคืออุทกภัยที่คิดเป็น 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 32% ของความเสียหายทั้งหมด
ในรายงาน Climate Risk Index 2025 ได้เผยรายชื่อ 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
จากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงในปี 2022 ได้แก่ ปากีสถาน เบลีซ อิตาลี กรีซ สเปน เปอร์โตริโก สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย โปรตุเกส และบัลแกเรีย ตามลำดับ โดยปากีสถานได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,700 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ส่วนอิตาลีและกรีซเผชิญกับคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 40°C และเกิดไฟป่าขนาดใหญ่
หากมองในระยะยาว ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงปี 1993-2022 สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ผิดปกติรุนแรง เช่น โดมินิกา ฮอนดูรัส เมียนมา และวานูอาตู และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น จีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งรายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สุดขั้วที่เคยเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นกลายเป็น “ความปกติใหม่”
ในส่วนของประเทศไทย รายงานฉบับล่าสุดระบุว่า ในปี 2022 ประเทศไทยมีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ อันดับ 72 ลดลงจาก อันดับ 34 ในปี 2019 และในดัชนีระยะยาว (1993-2022) ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 ลดลงจากอันดับ 9 ในช่วงปี 2000-2019 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญความสูญเสียรุนแรงขึ้น
ย้อนกลับไปในอดีต ประเทศไทยเคยติด 10 อันดับแรกของประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในหลายช่วงเวลา เช่น
● อันดับ 9 ในช่วงปี 1995-2014
● อันดับ 10 ในช่วงปี 1998-2017
● อันดับ 8 ในช่วงปี 1999-2018
● อันดับ 9 ในช่วงปี 2000-2019
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีหลัง ๆ อันดับของไทยลดลง เนื่องจากมีการปรับปรุงระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณค่าดัชนีให้ครอบคลุมช่วงเวลา 30 ปี แทนที่จะเป็น 20 ปีเหมือนเดิม
แม้ว่าไทยจะไม่ได้ติดอันดับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดอีกต่อไป แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ภัยแล้งที่กระทบต่อการเกษตร น้ำท่วมหนักในบางภูมิภาค และฝนที่ตกหนักผิดปกติ การปรับตัวและเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
รายงาน Climate Risk Index 2025 ย้ำให้เห็นว่า ไม่มีประเทศใดรอดพ้นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้แต่ประเทศที่มีรายได้สูงก็ได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีรายได้น้อยและขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรับมือกลับได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด CRI ยังชี้ให้เห็นว่าการดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเพิ่มเงินทุนสนับสนุนให้กับประเทศกำลังพัฒนาเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศ
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก igreenstory